แชร์

4 วิธีดูแลสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน

The_Art_of_Change_Final.png The Art of Change
อัพเดทล่าสุด: 8 ส.ค. 2025
286 ผู้เข้าชม

การทำงานมีความท้าทายและความกดดันสูงขึ้น องค์กรที่ต้องการประสบความสำเร็จในระยะยาว ไม่สามารถมองข้ามสุขภาพจิตของพนักงานได้

Harvard Business Review ชี้ให้เห็นว่าพนักงานที่มีสุขภาพจิตที่ดีจะมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น ลดอัตราการลาออก และสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่เป็นมิตรและมีส่วนร่วมมากขึ้น 

อย่างไรก็ตาม แม้สุขภาพจิตของพนักงานจะเป็นปัจจัยที่สำคัญแต่ยังมีหลายองค์กรที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างเพียงพอ ปัญหาความเครียด การหมดไฟในการทำงาน และภาวะซึมเศร้า กำลังกลายเป็นความท้าทายที่องค์กรต้องเผชิญ

การให้การสนับสนุนด้านสุขภาพจิตไม่เพียงช่วยให้พนักงานมีความสุขในการทำงานมากขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรโดยรวม ดังนั้น องค์กรควรพิจารณาแนวทางที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพื่อดูแลสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน

1. สร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต

องค์กรควรเริ่มต้นด้วยการสร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้างและส่งเสริมการพูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพจิตโดยไม่มีอคติ การอบรมผู้นำทีมเพื่อให้สามารถรับรู้สัญญาณของความเครียดหรือความเหนื่อยล้าของพนักงาน และสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับการแบ่งปันปัญหาหรือความกังวล สามารถช่วยลดความตึงเครียดในที่ทำงานได้อย่างมาก

การมีนโยบายสนับสนุนพนักงาน เช่น วันหยุดเพื่อพักผ่อน (mental health day) หรือการส่งเสริมให้หัวหน้างานมีการพูดคุยแบบเปิดใจกับทีม สามารถช่วยให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กรให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพวกเขาอย่างแท้จริง

2. สนับสนุนการทำงานที่ยืดหยุ่น (Flexible Work Options)

Harvard Business Review ระบุว่าการทำงานที่ยืดหยุ่น เช่น การทำงานจากที่บ้าน หรือการกำหนดเวลาการทำงานที่เหมาะสมกับพนักงาน ช่วยลดความเครียดจากการเดินทางและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถกำหนดตารางเวลาทำงานที่เหมาะสมกับตนเองจะช่วยให้พวกเขาสามารถจัดสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น ซึ่งมีผลต่อสุขภาพจิตในระยะยาว

องค์กรที่มีแนวทางการทำงานที่ยืดหยุ่นจะสามารถรักษาคนเก่งไว้ได้ และช่วยให้พนักงานทำงานด้วยความกระตือรือร้น และความพึงพอใจมากขึ้น

2. ลงทุนในโปรแกรมสนับสนุนสุขภาพจิต (Mental Health Programs)

การมีโปรแกรมหรือเครื่องมือที่ช่วยดูแลสุขภาพจิต เช่น การให้คำปรึกษากับนักจิตวิทยา การสนับสนุนการทำสมาธิ หรือการจัดกิจกรรมเพื่อผ่อนคลาย สามารถช่วยให้พนักงานรับมือกับความเครียด และสร้างพลังงานเชิงบวกในชีวิตการทำงานได้

Harvard Business Review ยังระบุว่าการมี Employee Assistance Programs (EAPs) ที่ให้บริการคำปรึกษาทางจิตวิทยา สามารถช่วยให้พนักงานมีเครื่องมือรับมือกับปัญหาสุขภาพจิตได้ดีขึ้น

องค์กรที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านสุขภาพจิตจะสามารถเพิ่มความผูกพันของพนักงานและสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นบวกมากขึ้น

3. ส่งเสริมกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being Initiatives)

การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพ เช่น การออกกำลังกาย การให้คำแนะนำเรื่องโภชนาการ หรือการจัดช่วงเวลาให้พนักงานได้พักผ่อนในระหว่างวันทำงาน จะช่วยปรับปรุงทั้งสุขภาพกายและจิตใจของพนักงาน ซึ่งมีผลต่อความพึงพอใจและประสิทธิภาพในงานโดยตรง

องค์กรสามารถจัดโปรแกรมสุขภาพ เช่น กิจกรรมโยคะ การสนับสนุนการออกกำลังกาย หรือการให้พนักงานสามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพจิตได้ง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานที่ส่งเสริมความสุขและลดความเครียดของพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สุขภาพจิตของพนักงานไม่ใช่แค่เรื่องของแต่ละบุคคล แต่เป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพขององค์กร องค์กรที่มุ่งเน้นการดูแลสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ของพนักงานอย่างจริงจังจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับทีมงาน และยังมีโอกาสเพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขันในระยะยาวได้อีกด้วย

การลงทุนในสุขภาพจิตของพนักงานไม่ใช้ค่าใช้จ่ายแต่เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง ไม่ว่าจะเป็นด้านความสุขของพนักงาน การรักษาคนเก่ง หรือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน องค์กรที่ตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพจิตจะสามารถสร้างวัฒนธรรมที่ดีขึ้น และเป็นองค์กรที่พนักงานอยากร่วมงานด้วยในระยะยาว

 Author

ออแบท-อธิษฐ์กร นิยมเดชาธีรฉัตร
PositivePsychologist นักจิตวิทยาองค์กร
Professional Action Learning Coach
Team Psychological Safety Facilitator

 Artwork: Jutha.J


บทความที่เกี่ยวข้อง
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy